มิ ทรัพย์เย็น
(พ.ศ. ๒๔๔๔-๒๕๑๕)
ครูมิ ทรัพย์เย็น เป็นบุตรนายเสม และนางกลีบ ทรัพย์เย็น เกิดเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๔ ปีฉลู ที่ตำบลศิริราช อำเภอบางกอกน้อย จังหวัดธนบุรี
ศึกษาวิชาสามัญที่โรงเรียนวัดวิเศษการ (วัดหมื่นรักษ์) เป็นเวลา ๔ ปี จนสอบไล่ได้ชั้นมัธยม ๒ จึงออกจากการศึกษา สำหรับวิชาดนตรีนั้น เนื่องจากเมื่อเยาว์ยัง ครูมิได้มาอยู่กับพระยารัตนา ซึ่งเป็นลุงข้างมารดา ที่บ้านวังหลัง อันมีครูพุ่ม บาปุยะวาท (พุ่มเล็ก) เป็นครูสอนดนตรีประจำบ้าน จึงได้เริ่มฝึกหัดดนตรีกับครูก่อนเป็นปฐม ต่อมาได้ไปอยู่วงปี่พาทย์ที่บ้านเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี เสนาบดีกระทรวงวังในรัชกาลที่ ๖ จึงมีโอกาสได้ฝึกหัดดนตรีจากพระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) จนนับได้ว่าเป็นผู้ได้รับการถ่ายทอดทางเครื่องหนังจากพระยาเสนาะดุริยางค์โดยเฉพาะ
หน้าที่การงานของครูมินั้น เริ่มด้วยการเข้ารับราชการทหารเมื่ออายุครบเกณฑ์เป็นทหารรักษาวังเป็นเวลา ๒ ปี (พ.ศ. ๒๔๖๕-๒๔๖๗) จากนั้นจึงเข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็ก เมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ในกองพิณพาทย์หลวง กรมมหรสพ กระทรวงวัง ภายหลังเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงได้โอนไปสังกัดกรมศิลปากรจนครบเกษียณอายุราชการ เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ ด้วยความรู้ความสามารถในวิชาดนตรีโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเครื่องหนัง กรมศิลปากรจึงจ้างให้เป็นครูพิเศษในวิทยาลัยนาฏศิลปต่อไปอีก แต่ครูมิปฏิเสธเพราะต้องการพักผ่อนและดูแลภาระทางบ้าน รวมทั้งงานสอนตามโรงเรียนและหน่วยราชการอื่น ๆ เช่น ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย และวิทยาลัยวชิรพยาบาล ยังเป็นภาระผูกพันอยู่ ครูมิสอนอยู่ที่วิทยาลัยวชิรพยาบาลเป็นแห่งสุดท้าย จนถึงแก่กรรมด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจไม่ทำงาน เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ที่โรงพยาบาลวชิระ สิริอายุได้ ๗๑ ปี
ครูมิ เล่นดนตรีได้เกือบทุกเครื่องมือแต่ที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ คือ เครื่องหนังจนได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งกลอง เสียงเครื่องหนังของครูมิ เป็นไปดังใจปรารถนา ที่สนุกก็สนุกยิ่งนัก ถึงคราวน่าเกรงขาม ก็ฟังครั่นคร้ามศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ยิ่ง เมื่อสมัยยังมีชีวิตอยู่ มีการทำเพลงหน้าพาทย์สำคัญ ๆ ในงานใหญ่ ๆ ที่ใด ไม่ว่าเป็นงานของใครก็ต้องมาตามครูมิไปตีตะโพนทุกครั้งไป ในกระบวนหน้าทับกลองแขกนั้น เพลงสะระหม่า นับเป็นเพลงที่ตียากที่สุดเพลงหนึ่ง เพราะทั้งยาวทั้งยอกย้อนและละเอียดพิสดารยิ่งนัก คนกลองแขกทั้งสองคนคือ คนตีตัวผู้และคนตีตัวเมีย ต้องมีความแม่นยำเป็นเลิศในทางของตน พร้อมทั้งใช้ปฏิภาณไหวพริบอย่างยิ่ง เพื่อตีประสานสอดคล้องเข้าด้วยกัน ตีพลาดเข้าทีเดียวก็อาจล่มเสียทั้งคู่ จึงยากนักที่จะมีใครได้ครบทั้งทางตัวผู้และทางตัวเมีย ครูมินั้นได้ทั้ง ๒ ทาง แต่ทางตัวเมียจัดว่าเป็นเลิศ เพื่อน ๆ ร่วมรุ่นร่วมสำนักของครูมิล้วนเป็นเอตทัคคะในแต่ละแขนงของดุริยางค์ไทยทุกคน เช่น ครูเทียบ คงลายทอง (ปี่) ครูสอน วงฆ้อง (ฆ้องใหญ่) ครูพริ้ง ดนตรีรส (ระนาดเอก) ครูแสวง โสภา (ระนาดทุ้ม) เป็นต้น แต่ครูมิ ไม่มีศิษย์มากเหมือนเพื่อน ๆ ครูมิเคยปรารภกับลูกและหลาน ๆ ว่า หาคนดีแท้และตั้งใจจริงไม่ได้ ในระยะหลังกรมศิลปากรเห็นค่าของครูมิ จึงเชิญมาถ่ายทอดวิชาเครื่องหนังให้แก่ศิษย์ในวิทยาลัยนาฏศิลป แต่ยังไม่ทันจะไปถึงไหนครูมิก็ถึงแก่กรรมไปเสียก่อน
ครูมิ เป็นคน “มิ” สมชื่อ คือ เงียบ ๆ เฉย ๆ ทั้งมีความอ่อนโยน นุ่มนวลเกรงใจคนเป็นที่สุด จนชั้นแต่จะไหว้วานลูกหลานก็ต้องถามว่า ว่างหรือเปล่า ก่อนทุกครั้ง ตลอด ๑๑ ปี ที่ผู้เขียนรู้จักใกล้ชิดกับครูมิ ไม่เคยได้ยินวาจาหยาบแม้สักคำเดียว ครูมิสร้างตัวด้วยความอุตสาหะ ซื่อสัตย์สุจริตจนครอบครัวเป็นปึกแผ่น มิใช่แต่จะอาศัยความรู้ทางดนตรีแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ครูมิยังมีความรู้ทางช่างเป็นยอด ด้วยความช่างสังเกตจดจำครูมิถึงกับสามารถตั้งร้านรับแก้นาฬิกาอยู่แถวบ้านขมิ้นได้อีกด้วย
ครูมิ เป็นคนแรกที่เป็นต้นคิดสร้างโรงโขนสำเร็จรูป สามารถประกอบ รื้อถอนได้สำเร็จในวันเดียว เป็นต้นคิดใช้มอเตอร์ไฟฟ้านวดหนังหน้ากลองแทนวิธีใช้มือ นอกจากนี้ครูมิยังเหลาระนาดได้เองอีกด้วย
ชีวิตครอบครัวนั้น ครูมิ สมรสกับ นางสมบุญ ทรัพย์เย็น มีบุตรธิดาทั้งสิ้น ๘ คน คือ จารณา (ชาย) สมร (หญิง) ประเสริฐ (ชาย) พิศมัย (หญิง) สุมิตรา (หญิง) ศิริมา (หญิง) มารศรี (หญิง) สามารถ (ชาย)
พิชิต ชัยเสรี
(เรียบเรียงจาก คำหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายมิ ทรัพย์เย็น)
ที่มา : นามานุกรมศิลปินเพลงไทย ในรอบ ๒๐๐ ปี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยพูนพิศ อมาตยกุล, หัวหน้าโครงการ ; ผู้ร่วมโครงการ, พิชิต ชัยเสรี …[และคนอื่น ๆ]. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๖.